หยุด ร่างพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์

วันเสาร์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2554

พลังงาน คือ อะไร ????

     พลังงาน เกิดจากคำ 2 คำที่ผสมกันคือ พลัง และ งาน หมายถึง พลังต่างๆที่นำมาใช้ให้เกิดงาน เช่น น้ำมันทำให้รถวิ่ง ถ่านหินใช้ผลิตไฟฟ้า สำหรับการแบ่งพลังงานนั้น สามารถแบ่งได้ 2 ประเภทคือ

  1. พลังงานใช้แล้วหมดไป  หรือ พลังงานสิ้นเปลือง หรือ พลังงานฟอสซิล
    ได้แก่ น้ำมัน รวมทั้งหินน้ำมัน ทรายน้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซธรรมชาติ ที่เรียกว่าใช้แล้วหมดก็เพราะหามาทดแทนไม่ทันการใช้ พลังงานพวกนี้ปกติแล้วจะอยู่ใต้ดิน ถ้าไม่ขุดขึ้นมาใช้ตอนนี้ ก็เก็บไว้ให้ลูกหลานใช้ได้ในอนาคต บางทีจึงเรียกว่าพลังงานสำรอง
  2. พลังงานใช้ไม่หมด หรือ พลังงานหมุนเวียน ได้แก่ ไม้ กระดาษ ฟืน แกลบ กาก(ชาน)อ้อย    ชีวมวล (เช่น มูลสัตว์ และก๊าซชีวภาพ) น้ำ(จากเขื่อนไหลมาหมุนกังหันปั่นไฟ) แสงอาทิตย์ (ใช้เซลล์แสงอาทิตย์ผลิตไฟฟ้าได้) ลม (หมุนกังหันลมผลิตไฟฟ้า) และคลื่น (กระแทกให้กังหันหมุนปั่นไฟ) และที่ว่าใช้ไม่หมดก็เพราะสามารถหามาทดแทนได้ เช่น ปลูกป่าเอาไม้มาทำฟืน หรือปล่อยน้ำจากเขื่อนมาปั่นไฟ แล้วไหลลงทะเล กลายเป็นไอ และเป็นฝนตกลงมาสู่โลกอีก หรือแสงอาทิตย์ที่ได้รับจากดวงอาทิตย์อย่างไม่มีวันหมดสิ้น ดังนี้เป็นต้น

     แล้วพลังงานทางเลือก คืออะไร ???  พลังงานทางเลือก ก็คือพลังงานที่ไม่ใช่พลังงานหลัก แต่คนส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจน้อยอยู่ มีการนิยมใช้น้อย ภาครัฐให้การสนับสนุนน้อย คงเพราะเป็นเรื่องที่ใหม่และดูจะไกลตัว ถึงแม้ว่าน้ำมันจะแพง แต่คนที่มีรถก็สามารถจ่ายค่าน้ำมันได้เหมือนกับว่าน้ำมันมีราคาเท่ากับ 10 กว่าปีก่อน  ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ราคาสินค้า บริการต่างๆทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น สาเหตุหลักมากจากพลังงานหลักที่ค่อยๆหมดไปนั่นเอง ในสถานการณ์เช่นนี้ควรมีการหันมาให้ความสำคัญกับพลังงานทางเลือกมากขึ้น เพราะการรอให้พลังงานหลักหมดลง แล้วค่อยหันมาใช้พลังงานทางเลือก ก็จะเข้าเค้ากับคำว่า "มีของดีอยู่กับตัวแล้วไม่ใช้"

    

    วันศุกร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2554

    ทำไมจึงต้องใช้พลังงานทางเลือก

         ในปัจจุบันคงเป็นที่ทราบกันดีว่าพลังงานต่างๆที่อยู่ในโลกของเรา ค่อยๆลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด สังเกตได้จากราคาสินค้าและบริการต่างๆมีการปรับตัวที่สูงขึ้น โดยเฉพาะน้ำมัน กล่าวคือ ความต้องการน้ำมันดีเซลเป็นปริมาณ 9,928 ล้านลิตร ในปี พ.ศ. 2533 และเพิ่มเป็น 18,273 ล้านลิตร ในปี พ.ศ. 2547 หรือเพิ่มขึ้นด้วยอัตราเฉลี่ยร้อยละ 4.5 ต่อปี  
         
         จากการที่มีประชากรเพิ่มขึ้น ความต้องการใช้พลังงานจึงเพิ่มขึ้นตามไปด้วย แต่ทรัพยากรธรรมชาติไม่ได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนประชากร ดังนั้นการที่เราใช้ทรัพยากรใดทรัพยากรหนึ่งเป็นเวลานาน สักวันก็คงจะหมดไป ถ้าเราไม่คิดหาทางป้องกัน สักวันหนึ่งลูกหลานของเราอาจไม่มีอะไรให้ใช้เลยก็เป็นได้

         เราจึงขอเป็นส่วนหนึ่ง ในการจุดประกายทางความคิด โดยหวังว่าทุกๆคนจะมีการปรับเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องการใช้พลังงาน และหวังว่าทุกๆคนคงมีความคิดในเรื่องของวิกฤตพลังงานว่าเป็นเรื่องใกล้ตัว ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป